Benchama Math&science/10

Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

My room


    เมื่อลูก FBI เป็นฆาตกร

    pop:!!
    pop:!!
    เรือลากจูง
    เรือลากจูง


    จำนวนข้อความ : 108
    Join date : 28/05/2010
    Age : 29

    เมื่อลูก FBI เป็นฆาตกร Empty เมื่อลูก FBI เป็นฆาตกร

    ตั้งหัวข้อ  pop:!! Sun Jun 06, 2010 3:14 pm

    ลูกผมเป็นฆาตกร

    วันหนึ่งเมื่อกลางปี ที่แล้ว จอห์น คุก เจ้าหน้าที่เอฟบีไอวัยเกษียน นั่งรออย่างกระวลกระวายในห้องเยี่ยมญาติของเรือนจำเมืองแจ็กสัน รัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เขาปฏิบัติจนคุ้นเคยตลอดสีปีครึ่งที่ผ่านมา และแม้จะมาเยี่ยมหลายครั้ง จอห์นก็ยังหายใจไม่ทั่ว ท้อง เมื่อประตูออกมา ร่างที่มาเยือนอยู่ด้านหน้าเหมือนตัวเขาในวัยหนุ่ม

    "สวัสดีครับ พ่อ"

    ชายทั้งสองนั่งประจันหน้ากันข้างหน้า จอห์นได้แต่สงสัย และดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ยังค้างคาอยู่ในใจ ทำไมโชคชะตาต้องเล่นตลกให้พ่อลูกมาพบกันในสถานที่เช่นนี้




    เหตุการณ์สะเทือนขวัญเริ่มเกิดขึ้น พ.ศ.2539 แม้ไม่ใช้คดีดังระดับโลกแต่มันก็เพียงพอที่น่าจดจำ มันเริ่มขึ้นเมื่อนักศึกษาสาวสองคน มิเชล คาร์จีนา อายุ 19 ปี และ แกรนต์ เฮนดริกสัน 22 ขับรถไปจอด สวนสาธารณะซึ่งชาวเมืองนิยมไปปิกนิกตอนกลางวันและเป็นที่พลอดรักของพวกหนุ่ม สาว แต่ตอนนี้ทั้งสองมาที่สวนสาธารณะนี้เป็นตอนกลางคืนหลังเที้ยงคืน

    จู่ๆ มีรถคันหนึ่งแล่นมาจอดท้ายรถของคนทั้งสอง รถหยุด คนขับลงจากรถพร้อมยกปืนไรเฟิลเออาร์ -151 ขึ้นมากวาดยิงใส่รถ มันสาดกระสุนจนหมดกระบอก ฆาตกรเดินไปที่รถของเหยื่อและควักปืนพกออกมากระหน่ำไปที่ตัวอีก 5 นัด จากนั้นมันกระชากร่างของมิเชลลงมาจากที่นั่งของคนขับและถ่มน้ำลายใส่ศพ จากนั้นก็ขับรถหายออกไปในความมืด

    คดีนี้เกิดขึ้นเร็วมาก จนคนเหตุการณ์ตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่จะเรียกตำรวจและพนักงานสอบสวนเข้ามาที่เกิดเหตุเพื่อคลี่คลายคดีนี้ มีหลักฐานไม่กี่อย่างเท่านั้นในที่เกิดเหตุ มีปลอกกระสุนปืน 19 ที่ออกจากปืน สองกระบอก และคราบน้ำลาย

    จอห์นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอผู้คว่ำหวอดในงานสืบสวนมา ถึง 27 ปี ติดตามความคืบหน้าของคดีนี้อย่างใกล้ชิด ในฐานะพ่อลูกสี่ เขานึกไม่ออกว่าผู้เป็นพ่อจะทนทุกข์ขนาดไหนเมื่อต้องสูญเสียลูกไปอย่างสยด สยองเช่นนี้

    จอห์นย้อนนึกถึงวันที่เขาบอกกลับลูกอย่าง ลำพองใจว่า"หน้าที่พ่อคือการทำให้นอกบ้านปลอดภัยพอที่เด็กๆออก ไปเดินสูดอากาศนอกบ้านได้อย่างสบายใจ"

    พนักงานสอบสวน 22 คน ถูกส่งมาเพื่อจะคลี่คลายคดีนี้ จอห์นนำลูกน้องจากสำนักงานเอฟบีไอประจำเมืองมาร่วมสืบคดีด้วย แต่การสืบสวนไม่คืบหน้าจนกระทั้งทีมสอบสวนค่อยๆ ลดลงจนเหลือเพียง 2 นาย และเมื่อถึงปลายปี 2539 คดีนี้ก็ถึงทางตัน

    คดีนี้ผ่านไป หลายเดือน จน กระทั้ง…………

    4 ธ.ค. 2549 จอห์นรีบรับโทรศัพท์ที่บ้าน สายต้นทางเป็นแรมดี อัปทัน เจ้าหน้าที่ที่ยังติดตามคดีนี้อยู่

    แรมดีบอกว่า เพิ่มสอบปากคำแอนดรูว์ ลูกชายของจอห์น เกี่ยวกับคดีนี้ แต่ต้องการสอบปากคำเพิ่มเดิมอีกครั้ง แต่ติดต่อถึงเจ้าตัวไม่ได้

    จึงขอให้จอห์นติดต่อไปโดยด่วน





    แอนดรูว์ คุก ลูกชายของจอห์นวัย 22 เกิด วันที่ 4 กรกฏาคม 2517 เป็น ลูกชายคนสุดท้องมีพี่สาว 3 คน เขาเป็นคนขี้อายและชอบเก็บตัวอยู่ลำพังเพียงคนเดียว แต่อย่างไรก็ตาม พ่อลูกคู่นี้มีความผูกพันกันมาก เพราะเมื่อพ่อแม่หย่ากัน ลูกชายคนนี้เลือกมาอยู่กับพ่อ

    แอนดรูว์ เป็นเด็กชายที่ชอบสนุกสนานกับกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น ตกปลา และล่าสัตว์ เขามักใช้เวลาในกิจกรรมนี้อยู่กับพ่อเสมอ

    จอห์นเรียกวิทยุติดตามตัวลูกชายแอนดรูว์ รอจนถึง 5 ทุ่ม ลูกชายก็ติดต่อกลับมา

    "เจ้าหน้าที่ฯ เขาต้องการพบลูกเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมที่สวนสาธารณะน่ะ ลูกรู้อะไรกับเรื่องนี้หรือเปล่า" จอห์นถาม

    ที่เจ้าหน้าที่ต้องการพบแอนดรูร์ก็เพราะ พวกเขาสืบทราบว่าแอนดรูร์เคยมีปืนไรเฟิลเออาร์-15 อยู่กระบอกหนึ่ง แต่จู่ๆ มันก็หายไป และจอห์นก็เคยถามเรื่องปืนหายกับแอนดรูว์ แต่แอนดรูว์อ้างว่าเอาไปจำนำและไม่รับรู้อะไรอีกเลย

    แต่จอห์นรู้สึกว่า ลูกชายของเขากำลังปิดบังอะไรอยู่

    "พ่อครับ ผมบอกไม่ได้" แอนดรูว์บอกกับพ่อ

    "ถึงยังไงพ่อก็เป็นตำรวจ"

    "เอาละ แอนดรูว์"จอห์นตัดบท

    "ข้อสำคัญคือพ่อเป็นพ่อของ ลูกน่ะ"

    เขารู้สึกต้องใช้ไหวพริบ เหมือนกับการสอบสวนผู้ต้องสงสัยจริงๆ เขาจึงเริ่มกับถามคำถามง่ายๆ เหมือนกับการสอบสวนผู้ต้องสงสัยที่เขาเคยถามหลายๆ คนว่า

    "แอนดรูว์ ลูกรู้เรื่องฆาตกรรมเหล่านี้หรือไม่?"

    "รู้ครับ" แอนดรูว์บอก

    "ลูกอยู่ที่เกิดเหตุหรือ เปล่า"

    "อยู่ ครับ" แอนดรูว์ตอบรับอีกครั้ง

    จอห์นเริ่มเหงื่อตก มือกำหูโทรศัพท์แน่น ในใจยังคิดว่า ลูกแค่อาจเป็นพยานรู้เห็นน่าไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่ถึงอย่างไรเขาต้องกัดฟันถามคำถามสุดท้ายที่สำคัญที่สุดออกมา

    "ลูกเป็นคนยิงพวกเขาหรือ เปล่า"

    ปลายสายทางโน่นเงียบไปนานจนผู้เป็นพ่อรอ ฟังเครียด

    "ยิง ครับ!" แอนดรูว์ตอบไปในที่สุด

    โลกของพ่อหมุนคว้างไร้ทิศทาง ลูกชายที่เขารักก่อคดีฆาตกรรม ยิงสองสาวอย่างโหดเหี้ยม คืนนั้นทั้งคืน จอห์นนั่งเงียบคนเดียวในห้อง เฝ้าคิดหาคำตอบทำไมชีวิตลูกรวมทั้งชีวิตตนเองถึงพบจุดหักเหเช่นนี้

    เขายึดคำขวัญของเอฟบีไอเป็นแนวทางและ ดำเนินชีวิตมาโดยตลอด คำขวัญที่ว่า "ซื่อสัตย์ กล้าหาญ และสำนึก" แต่ทั้งสามคำนี้กำลังต้อนเขาให้จนมุม ในฐานะผู้รักษากฎหมาย จอห์นรู้ดีว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่ในฐานะพ่อเขาปวดร้าวเป็นที่สุด และเฝ้าคิดว่าตนผิดพลาดในเรื่องนี้ได้อย่างไร เช้าในวันรุ่งขึ้น เขาไปพบบาทหลวง แต่ก็ไม่ช่วยให้ใจเขาสบายได้เลย

    ดูเหมือนว่าการเปลืองทุกข์จากอกจะเป็นวิธีเดียว เท่านั้น จอห์นไปพบกับเจ้าพนักงานเขต และเปิดเผยเรื่องราวการรับสารภาพของลูกชายให้ฟังจนหมดเปลือก

    เช้าในวันเดียวกันนั้น แอนดรูว์ถูกจับในข้อหาล่าสัตว์โดยผิดกฎหมาย แต่ในคดีฆาตกรรมที่สวนสาธารณะนั้นยังไม่มีหลักฐานหนักแน่นพอที่จะจับกุมตัว

    "ผมขอพูดกับเขาได้ไหม"

    จอห์นขอเจ้าพนักงานเขตพาแอนดรูร์เข้ามาใน ห้องจากนั้นปล่อยทั้งสองพ่อลูกอยู่กันตามลำพัง

    "แอนดรูว์เราต้องทำสิ่งที่ ถูกต้อง"จอห์นเกลี่ยนกล่อมลูก

    "ผมไม่ได้ทำครับพ่อ" แอนดรูว์เงียบไปพักหนึ่ง เนื้อตัวสั่นเทา เขาโกหกไม่เป็นเลย

    "มีคนใส่ร้ายผม"

    ต่อมาในวันเดียวกันนั้นแอนดรูว์ก็ตกเป็น ผู้ต้องสงสัยฆ่านักศึกษาสาวสองคน มิเชล คาร์จีนา และ แกรนต์ เฮนดริกสัน แต่แอนดรูว์ยังไม่ได้รับสารภาพ แม้มีหลักฐานเรื่องวิถีกระสุนและผลการวิเคราะห์ดีเอ็นเอแต่จอห์นรู้ดีที่สุด ว่าหลักฐานที่สำคัญนั้นคือเขา พยานที่หนักแน่นที่สุด ที่ได้ฟังคำพูดที่รับสารภาพถ่ายทอดจากปากของลูกชายเขานั้นเอง

    จอห์นย้อนอดีตเมื่อตอนคิดครั้งแรกที่ว่า ถ้าเกิดพ่อแม่สูญเสียลูกจะปวดร้าวเพียงใด

    ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว......




    แต่กว่าจะมีการพิจารณาในชั้นศาลของคดีแอ นดรูว์จะเริ่มก็หลังจากผ่านไป 1 ปี แต่ทุกอย่างเริ่มต้นรวดเร็วเมื่อสู่กระบวนการของศาล

    ณ ห้องพิจารณาคดี พนักงานอัยการกล่าวบรรยายสั่งฟ้องแอนดรูว์หลายกระทง จอห์นตั้งใจฟัง

    เขาเคยขอร้องต่อศาลเพื่อลดหย่อนผ่อนโทษ บุตรชายแทนมาแล้ว เพราะโทษที่แอนดรูว์จะได้รับคือการประหารชีวิต ซึ่งจอห์นรับไม่ได้กับโทษนี้

    เขาได้รับการปฏิเสธ

    ในที่สุด ทอมมี ฟลอย์ อัยการเขต กล่าวเปิดตัวพยานปากสุดท้าย ในคือจอห์น คุก

    สายตาทุกคู่ จับอยู่ร่างชายซึงเดินมาที่คอกพยานอย่างช้าๆ เหมือนกับนักโทษที่เดินเข้าสู่แดนประหาร

    จอห์น ยกมือขึ้นสาบาน เหมือนทุกครั้งที่เคยปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ

    "ท่านยินดีสาบานหรือไม่ว่า พยานหลักฐานและคำเบิกความทั้งหมดที่จะกล่าวอ้างในศาลแห่งนี้เป็นความจริง ทั้งสิ้น"

    "ข้าพเจ้าสาบาน" จอห์นตอบทันที

    อัยการฟลอยด์ เริ่มซักถามพยาน

    "พยานรู้จักจำเลยได้อย่างไร"

    จอห์นเหลือบตามองโต๊ะจำเลย ซึ่งแอนดรูว์นั่งก้มหน้ามองพื้น

    "เขาเป็นลูกชายของผม"จอห์นตอบ มือแกว่งแขนด้วยความประหม่าไม่อยู่กับร่องกับรอยและกล่าวถึงบทสนทนาระหว่าง เขากับลูกให้พนักงานและคณะลูกขุนฟัง

    จอหน์ตอบว่า "เขา เป็นคนฆ่ามิเชล คาร์จีนา และ แกรนต์ เฮนดริกสัน"

    ทุกคนในห้องพิจารณาคดีเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงหายใจ

    จอห์นเหลือบมองคณะลูกขุน หัวใจเต้นเร็ว

    จอห์นตอบคำถามด้วยเสียงนุ่มนวลแต่หนักแน่น ขณะเดินออกจากห้องพิจารณาคดี จอห์นรวบรวมความกล้าสบตากับครอบครัวมิเชล คาร์จีนา และ แกรนต์ เฮนดริกสัน พร้อมกับ มุมปากขมุบขมิบว่า

    "ผมขอโทษครับ"

    คณะลูกขุนใช้เวลาพิจารณาคดีไม่ถึงชั่วโมง ลงความเห็นว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน รวมข้อกล่าวหา 4 กระทง

    จอห์นตรงกลับบ้านหลังฟังคำตัดสินในคดีลูก ชาย ซึ่งเขารู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบด้วย เมื่อเขากลับมาถึงบ้านเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา ปลายสายบอกว่ามันมาจากเรือนจำ จอห์นรีบรับโทรศัพท์

    "พ่อไม่เป็นอะไร ใช่ไหมครับ" แอนดรูว์นั้นเอง เสียงที่คุ้นเคยดีเพราะตอนออกไปตกปลาล่าสัตว์กันดีมักได้ยินประโยคนี้บ่อยๆ เสียงของลูกที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยความห่วงใย

    "แอนดรูว์ พ่อขอโทษพ่อต้องทำตามหน้าที่"

    "ช่างมันเถอะพ่อ"แอนดรูว์ตอบแบบไม่ใส่ใจ

    "เดี๋ยวมันก็ดีเอง ผมรักพ่อครับ"




    ในสายตาของคณะลูกขุน ลูกชายของจอห์นเป็นผู้ร้ายใจโหดแต่การที่ลูกโทรศัพท์มาเพื่อให้กำลังใจพ่อทำ ให้จอห์นเชื่อมั่นอีกครั้งเมื่อปรากฏตัวต่อศาลอีกครั้งวิงวอนขอชีวิตลูกชาย

    "ผมอยากให้ลูกขุนทุกท่านใน ฐานะผู้ดรุงความยุติธรรมโปรดหลับตาและสมมุติว่าตัวเองเป้นคนในครอบครัวมิเชล คาร์จีนา และ แกรนต์ เฮนดริกสัน" จอห์นกล่าวต่อคณะลูกขุน

    "ลูกขุนเกือบทุกท่านมีลูก แล้ว คงเป็นความขมขื่นที่ต้องเสียลูก ถึงตอนนี้ผมอยากให้ท่านลองหลับตาและคิดถึงหัวอกพ่ออย่างผมบ้าง พ่อแม่ทุกคนไม่เคยคิดหรอกว่าลูกทำสิ่งที่ผิดถึงชีวิตแก่ผู้อื่น"

    "แอนดรูว์ต้องทนทุกข์ทรมานกับความอัปยศและไร้ ศักดิ์ศรี เสียงประณามและการหยามเหยียด หยามหมิ่นมามากพอแล้ว ชีวิตผมก็เช่นกันรวมทั้งทุกคนในครอบครัวของผม" จอห์นหันไปทางลูกชายของเขา

    "ด้วยใจอำมหิต แต่ผมไม่เชื่อว่าภายในจิตใจเขานั้นจะมีแต่ด้านมืด แต่ก็ยังมีแง่มุมที่อ่อนโยนซ่อนเร้นอยู่บ้าง......."

    แต่คณะลูกขุนมีความเห็นแตกต่างกับจอห์น

    และคำตัดสินก็ออกมา แอนดรูว์มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า

    แอนดรูว์ถูกกำหนดประหารชีวิตในสัปดาห์ที่ 20 เมษายน 2551 แต่ลมหายใจของของเขาก็ยืดออกไปเนื่องจากมีการ อุทธรณ์ต่อศาลสูงให้ชะลอการตัดสินประหารชีวิตไว้ก่อน

    อาชญากรรมของแอนดรูว์ก่อให้เกิกการเปลี่ยน แปลงชีวิตหลายคนในครอบครัวมิเชล คาร์จีนา และ แกรนต์ เฮนดริกสัน เพราะต่างเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ของคนนั้นไม่เพียงสูญเสียลูกสุดที่รักเท่านั้น แต่ก็ยังหมดสิทธิ์ชื่มชมหลานที่ไม่มีโอกาสลืมตาดูโลก ซึ่งหมายถึงไร้ทายาทสืบสุกลอีกด้วย

    จอห์นกล่าวหากแอนดรูว์ถูกประหาร เขาคงเสียใจสุดแสนสาหัส แต่ในขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่าจะปิดฉากเรื่องทั้งหมดเสียที

    "ผมไม่แน่ใจว่ารู้เรื่องราว ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นโดยตลอดหรือเปล่า แต่ความจริง ความล้มเหลวในการช่วยชีวิตลูกคงจะตามหลอกหลอนผมไปตลอดชีวิตแน่"

    "หากจะมีคนในโลกที่ผมควรปก ป้องให้พ้นจากความชั่วร้าย คนนั้นน่าจะเป็นลูกชายผม" จอห์นรำพัน

    "แต่ผมไม่ได้ปกป้องลูกชายของ ตัวเอง และกว่าจะรู้ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว"



    เครดิต: http://writer.dek-d.com/writer/story/viewlongc.php?id=205702&chapter=32

      เวลาขณะนี้ Tue May 14, 2024 7:51 am